31 มี.ค. 2554

คนจีน (บางคน) ยอมอดเพื่อซื้อของแบรนด์เนม

Image source: asianoffbeat.com

เมื่อวานผมได้คุยกับคนจีนที่มาเที่ยวที่ภูเก็ตคนนึง บังเอิญว่าเขาเป็นคนชอบสะสมเปลือกหอยเหมือนเพื่อนผม ก็เลยได้ชวนกันไปกินข้าว เพื่อนผมก็ชวนผมไปด้วย เผื่อไปเป็นเพื่อนคุยกับเขา

ในระหว่างที่กินข้าวไปคุยกันไป มีตอนหนึ่งเราก็คุยกันว่าคนจีนสมัยนี้มีฐานะดีขึ้นมาก ผมจึงเล่าให้เขาฟังว่าผมเพิ่งอ่านเจอมาว่าประเทศจีนกำลังจะเป็นตลาดสินค้าหรูแบรนด์เนมที่ใหญ่ที่สุดในโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งเขาก็ไม่ประหลาดใจอะไร แต่เขาเล่าให้ผมฟังเพิ่มเติมเกี่ยวกับพฤติกรรมนี้ของคนจีน ซึ่งน่าสนใจดี ผมก็เลยเอามาเล่าต่อในบล็อกนี่แหละ

เขาบอกว่าคนจีนที่ชอบซื้อของแบรนด์เนมราคาแพงมีอยู่สองประเภท ประเภทแรกเป็นกลุ่มคนที่ภาษาจีนเรียกว่า 暴发户 (เป้า ฟา ฮู่) หรือ "เศรษฐีใหม่" ที่ร่ำรวยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คนเหล่านี้รวยจริง มีเงินจริง จะซื้อหากระเป๋าหลุยส์ หรือนาฬิกาโรเล็กซ์มาใส่ไม่ใช่ปัญหา แต่ด้วยความที่รวยเร็วแบบปัจจุบันทันด่วน จึงปรับตัวทางวัฒนธรรมไม่ทัน กลายเป็นคนชอบอวดร่ำอวดรวยไปเลย

มีเรื่องตลกที่คนจีนเขาเล่ากันเกี่ยวกับคนกลุ่มนี้ว่า คนจีนสองคนเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กัน แต่ไม่ได้เจอกันมานาน คนหนึ่งยังจนเหมือนเดิม แต่อีกคนหนึ่งโชคดีรวยขึ้นมาอย่างปุบปับ ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยเครื่องเคราเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง ทั้งที่คอ ที่ข้อมือ นิ้วมือ ตลอดจนเสื้อผ้าอาภรณ์ทุกอย่าง วันหนึ่งเพื่อนสองคนนี้มาเจอกันโดยบังเอิญ หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน อาการของคนที่รวยแบบไม่ทันตั้งตัวก็แสดงออกอย่างน่าขำ ประมาณว่าชอบแบะคอเสื้อออกให้เห็นสร้อยที่คอ ชอบกวาดมือผ่านหน้าเพื่อนช้า ๆ ให้เห็น accessories ที่ข้อมือหรือนิ้วมือชัด ๆ อะไรทำนองนั้น ผมก็พยายามบรรยายตามท่าทางที่เขาทำให้ดูนะครับ คุณคงเดาออกว่าเขาทำกันยังไง

อันนี้เรียกว่าพวกรวยแบบไม่ทันตั้งหลัก เลยออกอาการเป๋ ๆ ให้ชาวบ้านเขาขำ ๆ น่ะ แต่บางคนอาจจะอิจฉาก็ได้

อีกพวกหนึ่งที่ชอบซื้อของแบรนด์เนมแพง ๆ ใส่ คือพวกที่เขาเรียกว่า 虚荣心 ผมไม่รู้ว่าจะใช้คำไทยว่าอะไรดี ประมาณว่าเป็นคนประเภทขาดความมั่นใจในตัวเอง ต้องหาสิ่งของนอกกายมาช่วยให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้น คนเหล่านี้ที่จริงไม่ได้รวยอะไร เป็นพนักงานบริษัท เงินเดือนอาจจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนทั่วไปบ้าง แต่ก็ไม่พอจะซื้อหาของแพงมาใช้ได้ง่าย ๆ แต่ด้วยความที่เป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก จึงต้องดิ้นรนแสวงหาสิ่งอื่นมาเยียวยาตัวเอง 

เขาเล่าว่าบางคนถึงกับยอมกินแต่อาหารถูก ๆ พวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เงินเดือนแทบไม่ใช้ พยายามเก็บ เก็บ เก็บ หลายเดือน จนมีเงินพอไปซื้อกระเป๋ามาใบนึง ซึ่งราคาอาจเท่ากับเงินเดือนสามสี่เดือนรวมกันเลยทีเดียว เรียกว่าอาการหนักเลยครับ

ก็เป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นค่านิยมบางอย่างของชาวจีนบางส่วนในปัจจุบัน โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าคนจีนส่วนใหญ่ขาดที่พึ่งทางจิตใจ เพราะศาสนาถูกทำลายไปมากในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม ยึดถือกันแต่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ซึ่งตอนนี้ชาวบ้านก็เสื่อมความศรัทธาต่อพรรคคอมมิวนิสต์ไปมากแล้ว เลยกลายเป็นช่องว่างที่กลวง ๆ ในจิตใจ (หรือจิตวิญญาณ) ทำให้ค่านิยมวัตถุเข้ามาครอบงำได้ง่าย ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ

3 ความคิดเห็น:

  1. ได้ยินเพื่อนที่เป็นสจ๊วตคุยให้ฟังเหมือนกันว่า เดี๋ยวนี้ลูกค้าที่เข้าร้านแบรนด์เนมเป็นจีนแดงซะส่วนใหญ่ ไม่ใช่ญี่ปุ่นแล้ว

    ตอบลบ
  2. อืม ประเทศจีนหมุนเร็วมาก จนบางครั้งเราก็ตามไม่ทัน

    ตอบลบ
  3. เห็นด้วยนะครับ
    ถ้าผมจะแปลจริงกับคำๆ นั้น ถึงมันจะไม่ตรง 100 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม ผมจะเรียกมันว่า อยากมีหน้ามีตา หรืออาจเข้าขั้น ภาพลักษณ์จอมปลอม

    ตอบลบ